กทม.พบโควิดระบาดหนักขึ้นหลังสงกรานต์ 4 เดือน ไข้เลือดออก ตายแล้ว 22 คน
กทม.พบโควิดระบาดหนักขึ้นหลังสงกรานต์ 4 เดือน การระบาดของโควิด-19 ที่กลับมาเพิ่มขึ้นหลังจากสงกรานต์ ทำให้เราต้องพึ่งพาการระมัดระวังและการปฏิบัติตามมาตรการอีกครั้ง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง ในขณะเดียวกัน เมื่อมีข้อมูลรายงานเกี่ยวกับการติดเชื้อไข้เลือดออกในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา (17 ม.ค. – เม.ย. 67) พบว่ามีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 1,730 คนและเสียชีวิตจากโรคนี้ไปทั้งสิ้น 22 คน ในการระบาดของโรคนี้ เราควรแนะนำให้ผู้ป่วยทุกรายใช้ยากันยุงเพื่อป้องกันการกัดของยุงอย่างเคร่งครัด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานให้เราทราบว่า ในวันที่ 20 เมษายน 2567 นางทวิดา กมลเวช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงข่าวสารที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อกรุงเทพมหานครครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 19 เมษายน 2567 มีการรายงานสถานการณ์ของโรคติดต่อที่มีความสำคัญในปี 2567 ได้แก่ โควิด-19, โรคไข้หวัดใหญ่, และโรคไข้เลือดออก
สถานการณ์โรคโควิด-19 ในช่วง 4 เดือนของปีนี้พบว่ามีการระบาดสูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยภายหลังสงกรานต์มักจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นเป็นปกติ ดังนั้นสำนักอนามัยได้เริ่มประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนป้องกันตนเองจากโรคติดต่อทางเดินหายใจในช่วงนี้ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค สถานการณ์ของไข้หวัดใหญ่ยังคงมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับค่ามัธยฐานของ 5 ปีย้อนหลังในปี 2566-2567 ดังนั้น สำนักอนามัยได้ขออนุมัติจัดซื้อวัคซีนเพื่อฉีดให้กับนักเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครในระดับประถมศึกษา เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจในการป้องกันโรคและลดโอกาสการติดเชื้อในอนาคต
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือสาเหตุของการเพิ่มจำนวนผู้ป่วย อาจเกิดจากระยะในการรับวัคซีนที่ห่างมานาน ซึ่งการรับวัคซีนไม่ได้รับประกันว่าจะไม่ติดโรคแต่จะลดความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ดังนั้น สำนักอนามัยควรเพิ่มความรู้เกี่ยวกับหลักการและวิธีปฏิบัติตนให้มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงความสำคัญของการรับวัคซีนและการรักษาสุขภาพอย่างถูกต้องและเหมาะสม
4 เดือนผ่านมา มีการเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกในกรุงเทพมหานครอย่างน้อย 22 คน
สถานการณ์โรคไข้เลือดออกในกรุงเทพมหานคร ในสัปดาห์ที่ 13 ของปี 2567 (17 ม.ค. – เม.ย. 67) ประเทศไทยมีผู้ป่วยจำนวน 24,619 ราย เสียชีวิต 22 คน ซึ่งในกรุงเทพมหานครมีผู้ป่วยจำนวน 1,730 ราย เสียชีวิต 2 คน โดยมีข้อสรุปจากกระทรวงสาธารณสุขว่ายาทากันยุงสามารถลดการแพร่เชื้อได้ในผู้ป่วย จึงแนะนำให้ผู้ป่วยทุกรายทายากันยุงเพื่อป้องกันยุงกัด โดยให้ปฏิบัติควบคู่ไปกับมาตรการเสริมอื่นๆ ในครัวเรือนและสมาชิกในครัวเรือนด้วย
“โครงการตรวจสุขภาพล้านคนของกรุงเทพมหานครเริ่มมีข้อมูลเข้ามาแล้ว ในอนาคตจะมีการวิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและวางแผนการดำเนินงานต่อไป กรุงเทพมหานครจะปรับปรุงวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลใหม่และนำผลความคืบหน้ามารายงานให้คณะกรรมการโรคติดต่อในการประชุมครั้งถัดไป” รศ.ทวิดา กล่าว
นางทวิดาเสนอเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา การรณรงค์เกี่ยวกับสุขภาพมักเน้นไปที่ชุมชนและครอบครัวเท่านั้น แต่ไม่ได้เน้นที่สถานที่ทำงาน เพราะฉะนั้น ควรทำการรณรงค์ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เช่น บริเวณไซต์ก่อสร้าง โรงงาน และสถานที่ทำงานอื่นๆ นอกจากนี้ สำนักอนามัยควรทำการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เกี่ยวกับลักษณะของชุมชนที่มีการระบาด และสมมุติฐานเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เพื่อให้เกิดแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการลดจำนวนผู้ป่วยลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ ในที่ประชุมสำนักอนามัยยังได้รายงานสถานการณ์ของโรคไวรัสซิก้า (โรคไข้ปวดข้อยุงลาย), โรคไอกรน, โรคฝีดาษวานร, และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยมีการวิเคราะห์และสรุปสถานการณ์เพื่อให้คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครได้ทราบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวางแผนและดำเนินการป้องกันและควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพอย่างเหมาะสม โดยมุ่งเน้นให้มีการรณรงค์และการเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเพิ่มความเข้าใจและการรับรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ เพื่อให้ประชาชนมีการป้องกันและระมัดระวังโรคได้อย่างเหมาะสม
เรียบเรียงเนื้อหาใหม่ทั้งหมด และให้เครดิต | website ที่มา https://www.isranews.org/